หลวงปู่ฝั้น อาจาโร
พระผู้สร้างคนให้เป็นคนสมบูรณ์
หลวงปู่ฝั้น อาจาโร เกิดเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2442 ที่บ้านม่วงไข่ ตำบลพรรณา อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร เป็นบุตรของเจ้าไชยกุมาร ในตระกูล “สุวรรณรงค์” อดีตเจ้าเมืองพรรณานิคม ในวัยเยาว์ ท่านเป็นผู้มีความประพฤติเรียบร้อย โอบอ้อมอารี ขยันหมั่นเพียร อดทนต่ออุปสรรค ช่วยเหลือกิจการงานของบิดา มารดา โดยไม่ย่อท้อต่อความยากลำบาก
ปูมหลัง
พระอาจารย์ฝั้นได้เริ่มเรียนหนังสือมาตั้งแต่ครั้งยังอยู่ที่บ้านม่วงไข่ โดยเข้าศึกษาที่วัดโพธิชัย แบบเรียนที่เขียนอ่านได้แก่ มูลบทบรรพกิจเล่ม 1-2 ซึ่งเป็นแบบเรียนที่วิเศษสุดในยุคนั้น ผู้ใดเรียนจบจะแตกฉานในด้านการอ่านเขียนไปทุกคน ปรากฏว่า ท่านมีความหมั่นเพียรในการศึกษาเป็นอันมาก สามารถเขียนอ่านได้รวดเร็วกว่าเด็กอื่น ๆ จนได้รับความไว้วางใจจากอาจารย์ให้เป็นครูสอนเด็กคนอื่นๆ แทน เวลาอาจารย์มีกิจธุระ
เมื่อจบการศึกษา อ่านออกเขียนได้อย่างแตกฉานแล้ว พระอาจารย์ฝั้นมีความตั้งใจอยากเข้ารับราชการ เพราะในสมัยนั้นเป็นงานที่มีหน้ามีตา ได้รับความเคารพนับถือจากผู้คน แต่ภายหลังได้เปลี่ยนความตั้งใจเดิมเสียโดยสิ้นเชิง เพราะเมื่อครั้งไปเล่าเรียนกับพี่เขยที่ขอนแก่น พี่เขยไห้ใช้เอาปิ่นโตไปส่งให้นักโทษอยู่เสมอ นักโทษคนหนึ่งคือ พระยาณรงค์ฯ เจ้าเมืองขอนแก่น และข้าราชการอีกบางคน ต่อมาพี่เขยได้ย้ายไปเป็นปลัดขวาที่อำเภอกุดป่อง จังหวัดเลย ครั้นเมื่อท่านเดินทางไปเยี่ยม ก็พบว่าพี่เขยต้องรับโทษเข้าคุก ข้อหาฆ่าคนตาย เมื่อได้เห็นข้าราชการใหญ่โตได้รับโทษไม่เว้นแม้แต่ผู้ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นถึงพระยานาหมื่น ท่านจึงเปลี่ยนใจ ไม่อยากเข้ารับราชการเหมือนกับคนอื่นๆ รีบลาพี่เขยกลับสกลนครทันที เดินเท้าเปล่า จากจังหวัดเลยผ่านอุดรธานีถึงสกลนคร ต้องนอนค้างอ้างแรมกลางทางถึง 10 คืน
ตั้งแต่นั้น สภาพของบรรดานักโทษที่ท่านประสบมาทั้งโทษหนักโทษเบา กลายเป็นภาพติดตาท่านอยู่เสมอ และนับเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ท่านรู้จักปลง และประจักษ์ถึงความไม่แน่นอนของชีวิต
ละทางโลก เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์
เมื่อกลับมาจากจังหวัดเลยมาถึงบ้านแล้ว ในปี พ.ศ. 2461 เมื่ออายุได้ 19 ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณรที่วัดโพนทอง บ้านบะทอง ขณะที่ยังเป็นสามเณรอยู่นั้น ท่านเอาใจใส่ศึกษาและเคร่งครัดในพระธรรมวินัยเป็นอันมาก คุณย่าของท่านถึงกับได้พยากรณ์ไว้ว่า ในภายภาคหน้า ท่านจะเข้าไปอาศัยอยู่ในป่าขมิ้นตลอดชีวิต ระหว่างนั้นจะสร้างแต่คุณความดีอันประเสริฐเลิศล้ำค่า จะเป็นผู้บริสุทธิ์ผ่องใส ประชาชนทุกชนชั้น ตั้งแต่สูงสุดจนต่ำสุด ทุกเชื้อชาติศาสนาที่ได้ฟังพระธรรมเทศนาของท่าน จะบังเกิดความเลื่อมใสในตัวท่าน และรสพระธรรมที่ท่านเทศนาเป็นอันมาก
ครั้นอายุครบ 20 ปี ท่านได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ วัดสิทธิบังคม อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร และได้เริ่มเรียนวิธีเจริญกัมมัฏฐานตลอดพรรษากับพระครูป้อง ผู้เป็นพระอุปัชฌาย์ หลังออกพรรษา ก็ได้กลับมาพำนักที่วัดโพนทอง วัดที่บ้านเกิด และได้เริ่มเรียนรู้การออกธุดงค์และเจริญภาวนากับพระครูสกลสมณกิจ เป็นเจ้าอาวาส ตามเขาลำเนาไพร ตามถ้ำตามป่าช้าต่างๆ ที่เป็นที่วิเวก เมื่อปฏิบัติอย่างจริงจัง ภิกษุฝั้นก็จะพบว่าไม่ง่ายดั่งใจนึก เพราะต้องบริกรรมอยู่ตลอดเวลาด้วยจิตที่เป็นสมาธิ เว้นไว้แต่เวลาที่นอนหลับ และเวลาที่ฉันจังหันเท่านั้น
พบพระอาจารย์ใหญ่แห่งพระสายวัดป่า
ในปี พ.ศ. 2463 พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต พร้อมด้วยพระภิกษุสามเณรอีกหลายรูปได้ธุดงค์ไปพักที่วัดป่าภูไทสามัคคี อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร เหล่าภิกษุและญาติโยมทั้งหลายเมื่อทราบข่าวก็ได้พากันไปนมัสการ และขอฟังพระธรรมเทศนาของท่าน รวมทั้งภิกษุฝั้นด้วย
ในครั้งนั้น พระอาจารย์มั่น ได้แสดงพระธรรมเทศนาเบื้องต้นเรื่องการให้ทาน รักษาศีล และการบำเพ็ญภาวนาตามขั้นภูมิของผู้ฟังว่า การให้ทานและการรักษาศีลภาวนานั้น ถ้าจะให้เกิดผลานิสงส์มากจะต้องละจากความคิดเห็นที่ผิดให้เป็นถูกเสียก่อน ด้วยชาวม่วงไข่ส่วนใหญ่นับถือภูตผีปีศาจ ตลอดจนเทวดา และนางไม้เป็นสรณะ ท่านจึงได้ยกเอาเรื่องนี้มาเทศนา ว่าเป็นเรื่องที่เหลวไหล ไร้เหตุผล พระอาจารย์มั่นได้แสดงข้อเท็จจริงขึ้นหักล้างหลายประการ และได้แสดงพระธรรมเทศนาอันลึกซึ้ง จนกระทั่งชาวบ้านเห็นจริง ละจากมิจฉาทิฏฐิ เลิกนับถือภูตผีปีศาจตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
เมื่อได้ฟังพระธรรมเทศนาของพระอาจารย์มั่นจบลง พระอาจารย์ฝั้นก็บังเกิดความปีติยินดีและเลื่อมใสเป็นอย่างยิ่ง จึงได้ปวารณาตัวขอเป็นศิษย์ต่อพระอาจารย์มั่นตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา รับเอาข้อวัตรปฏิบัติ ถือธุดงควัตรโดยเคร่งครัด กับได้ขอติดสอยห้อยตามท่านอาจารย์มั่น เดินทางธุดงค์ ปฏิบัติธรรม วิปัสสนา ไปทั่วแดนอีสาน ขึ้นเขา ลงห้วย อยู่เป็นเวลาหลายต่อหลายปี
ในช่วงชีวิตบรรพชิตของหลวงปู่ ท่านได้ธุดงค์ยังสถานที่ต่างๆ พร้อมการเผยแผ่พระธรรม คำสอน และแนวทางการปฏิบัติที่ร่ำเรียนมาให้กับพระ เณร และญาติโยม จนกระทั่งเป็นที่นับถือศรัทธาของญาติโยมจำนวนมาก และได้รับการได้รับการยกย่องเป็น “อริยสงฆ์” องค์หนึ่ง
ตายเป็นตาย...เป็นพระกัมมัฏฐานกลัวสัตว์ป่า ก็ไม่ใช่พระกัมมัฏฐานะ
ครั้งหนึ่ง พระอาจารย์ฝั้นได้พาสามเณรพรหมออกธุดงค์ โดยตั้งใจจะไปให้ถึงภูเขาควายในประเทศลาว แต่เมื่อข้ามแม่น้ำโขงไปแล้วก็เปลี่ยนใจ เพราะจากการสอบถามทางกับพระภิกษุที่พบเจอระหว่างทาง และชาวบ้าน ก็พบว่า ขณะนี้ฝรั่งเศสเข้มงวดกวดขันการเข้าประเทศมาก ท่านตรองดูแล้วเห็นว่า หนังสือเดินทางก็ไม่มี ใบสุทธิก็มิได้ติดตัวมา หากเกิดเรื่องขึ้นจะลำบาก ญาติโยมที่จะช่วยเหลือก็ไม่มีเพราะต่างบ้านต่างเมือง อีกประการหนึ่ง เมื่อภาวนาออกนอกลู่นอกทาง ก็ไม่มีผู้ใดจะปรึกษาแก้ไข เพราะห่างไกลครูบาอาจารย์ จึงตกลงเดินทางกลับ แต่มิได้กลับตามเส้นทางเดิม เลือกเดินไปทางทางเป็นป่าทึบ เลียบฝั่งโขงขึ้นไปทางเหนือน้ำ ทางเดินปรากฏรอยตะกุยของเสืออยู่บ่อยๆ ทั้งเก่าทั้งใหม่คละกันไปเรื่อย ยิ่งเมื่อตอนตะวันลับยอดไม้ มักจะได้ยินเสียงเสือคำรามร้องก้องไปทั้งหน้าหลัง แม้จะภาวนาอยู่ตลอดทาง แต่จิตใจก็อดหวั่นไหวไม่ได้ จนบางครั้งถึงกับภาวนาผิดๆ ถูกๆ เพราะไม่แน่ใจเอาเสียเลย ว่ามันจะโจนเข้าตะครุบเอาเมื่อไหร่
เพื่อให้กำลังใจกล้าแข็งขึ้น พระอาจารย์ฝั้นได้อุทานภาษิตอีสานขึ้นมาบทหนึ่ง ซึ่งท่านเคยพูดถึงบ่อยๆ เมื่อครั้งยังเป็นฆราวาสว่า“เสือกินโค กินควาย เพิ่นช้าใกล้ สื่อกินอ้าย เพิ่นช้าไกล” ซึ่งแปลว่า ถ้าเสือกินโคหรือกินควาย เสียงร่ำลือจะไม่ไปไกล เพราะเป็นเรื่องธรรมดา คงร่ำลือเฉพาะในหมู่บ้านนั้น ๆ แต่ถ้าหากเสือกินคน หรือกินพระกัมมัฏฐานแล้ว ผู้คนจะร่ำลือไปไกลมากทีเดียว
สุภาษิตบทนั้น ยังผลให้ท่านข่มความกลัวในจิตใจได้ดีขึ้น ขณะเดียวกันก็บังเกิดความกล้า พร้อมที่จะเผชิญเหตุการณ์ พร้อมกับนึกว่า เป็นพระกัมมัฏฐานกลัวสัตว์ป่า ก็ไม่ใช่พระกัมมัฏฐาน จนทำให้ท่านและสามเณรที่ติดตามไปข่มสติให้หายกลัวเสือได้สำเร็จ
นอกจากนี้ เวลาท่านไปพำนักอยู่ที่วัดใดก็ตาม ปกติจะลงจากกุฏิไปอยู่ตามร่มไม้ ซึ่งเรียกว่า“อยู่รุกขมูล” เสมอ ตามแนวทางของพระสงฆ์ที่ถือปฏิบัติในธุดงควัตรอย่างเคร่งครัด จึงเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “อยู่กรรม” คือปฏิบัติจริงจัง ไม่ยอมเดินทางไปไหน
เมื่อครั้งไปพักที่วัดป่านาโสก เจ้าอาวาสได้จัดกุฏิถวาย แต่ท่านพักได้คืนเดียวก็พาพระภิกษุที่เดินทางไปด้วย ลงไปทำที่พักใหม่ โดยยกแคร่ขึ้นใต้ร่มไม้ในบริเวณป่าช้า ซึ่งบริเวณนั้นเป็นป่าโปร่งบ้าง ทึบบ้าง สัตว์ป่าต่างๆ ก็ชุกชุมมาก เมื่อภิกษุแต่ละรูปหาที่พักในบริเวณเดียวกันเรียบร้อนแล้ว ท่านก็ถามว่า “กลัวผีกันหรือเปล่า” พระภิกษุต่างตอบตามตรงว่า “กลัว” แต่แทนที่ท่านจะบอกให้เขยิบเข้ามาพักใกล้ๆ กัน ท่านกลับพาไปหาที่พักกลางป่าช้า ลึกเข้าไปในดงดิบ รอบๆ ที่พักเต็มไปด้วยหลุมศพทั้งเก่าและใหม่ แต่เนื่องจากเคารพและเชื่อฟังในตัวหลวงปู่ฝั้น พระภิกษุที่ติดตามไปก็จัดทำที่พักโดยมิได้อิดเอื้อนแต่ประการใด ทั้งๆ ที่จิตใจเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น
ครั้งหนึ่ง เมื่อพระอาจารย์ฝั้นพาสามเณรพรหม เดินทางไปนมัสการพระอาจารย์มั่นที่บ้านนาสีดา ต.กลางใหญ่ อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้กราบเรียนให้พระอาจารย์มั่นถึงเรื่องราวที่ได้ประสบมา แต่พระอาจารย์มั่นก็สามารถหยั่งรู้ได้อย่างน่าอัศจรรย์ จากการสนทนาตอนหนึ่ง พระอาจารย์มั่นได้กล่าวขึ้นมาลอยๆ ว่า
“ท่านฝั้น เณรพรหม ได้ผี ได้เสือเป็นอาจารย์น่ะดีแล้ว ผีกับเสือสอนให้รู้วิธีตั้งสมาธิให้มั่นคง สอนให้กำหนดจิตใจให้สงบ รู้เท่าความกลัว ว่าอะไรมันกลัวผี กลัวเสือ ถ้าจิตใจกลัว เสือมันกินจิตใจคนได้
เมื่อไหร่ มันกินร่างของคนต่างหาก นี่แหละเขาจึงพูดกันว่า ผู้ไม่กลัวตาย ไม่ตาย ผู้กลัวตายต้องตายกลายเป็นอาหารสัตว์ ที่ท่านฝั้นใช้ภาษิตต่างๆ เป็นอุบายอันแยบคาย เตือนจิตใจให้รู้สึกตัวอยู่เสมอ ขณะได้ยินเสียงเสือนั้นชอบแล้ว”
ในส่วนของฆราวาส หลวงปู่ฝั้นก็เป็นพระผู้สร้างคนให้เป็นคนที่สมบูรณ์ ท่านได้แก้ไขผู้ประพฤติพาล เกเร เบียดเบียน ข่มเหงรังแก สร้างความเดือดร้อนแก่ผู้อื่นโดยการใช้อำนาจหน้าที่ในทางมิชอบ ตลอดจนผู้ติดอบายมุขต่างๆ ให้บังเกิดความสำนึกตน และละเว้นจากการประพฤติมิชอบเป็นผลสำเร็จมามากต่อมาก
เมตตาบารมีธรรมของท่านแผ่ไปกว้างใหญ่ใหญ่ไพศาล แต่ละปีที่ล่วงไป ผู้คนที่หลั่งไหลไปนมัสการท่านเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งในระยะหลังๆ บรรดาสานุศิษย์และนายแพทย์ได้กราบวิงวอนท่านครั้งแล้วครั้งเล่า ให้ลดการรับแขกลงเสียบ้าง จะได้มีเวลาพักผ่อนมากยิ่งขึ้น เพราะสังขารของท่านได้ทรุดโทรมลงไปมาก ทั้งยังล้มป่วยลงบ่อยๆ อีกด้วย แต่ท่านไม่ยอมกระทำตาม ด้วยยึดมั่นในเมตตาธรรมที่ท่านยึดถือปฏิบัติมาโดยตลอด
จนทำให้ เมื่อวันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2519 ท่านเกิดอาพาธอย่างฉับพลัน เบื้องต้นได้เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลสกลนคร แต่อาการไม่ดีขึ้น จึงถูกส่งตัวได้เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ในกรุงเทพมหานครอีกระยะหนึ่ง โดยอยู่ในพระบรมราชานุเคราะห์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ แต่รักษาตัวอยู่ได้ระยะหนึ่ง พระอาจารย์ฝั้นก็ขอกลับวัด
กลับมาคราวนี้ คณะศิษย์ได้ร่วมกันสร้างกุฏิหลังใหม่ให้ท่านพักอาศัย บนสระหนองแวง ข้างโบสถ์น้ำ ในวัดป่าอุดมสมพร และทำรั้วกั้นเพื่อมิให้ผู้คนเข้าไปรบกวนท่าน แต่อาการของท่านก็ยังไม่ดีขึ้น มีแต่ทรงกับทรุดอยู่ตลอดเวลา
พระอาจารย์ฝั้นมรณภาพในปี พ.ศ 2520 ณ วัดป่าอุดมสมพร นั่นเอง สิริรวมอายุได้ 78 ปี 58 พรรษา พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ ได้เสด็จฯ ไปทรงสรงน้ำศพ พระราชทานหีบทองประกอบศพ และได้เสด็จพระราชทานเพลิงศพเป็นการส่วนพระองค์
ถึงท่านจะมรณภาพไปแล้ว แต่คำสอนของท่านยังเป็นที่กล่าวขานกันหมู่ลูกศิษย์ลูกหาเสมอ หนึ่งในคำสอนนั้นก็คือ
“ทุกคนจะต้องเข้ามหายุทธสงครามสักวันหนึ่ง คือการ ต่อสู้กับมัจจุราช เมื่อถึงเวลานั้นแต่ละคนจะต้องสู้เพื่อ ตนเอง และต้องสู้โดยลำพัง ผู้ที่สู้ได้ดีก็จะไปดี คือไปสู่ สุคติ ผู้ที่เพลี่ยงพล้ำก็จะไปร้าย คือไปสู่ทุคติ อาวุธที่ใช้ ต่อสู้มีเพียงสิ่งเดียว คือ “สติ” ซึ่งจะสร้างสมได้ด้วยการ เจริญภาวนาเท่านั้น”