หลวงปู่เหรียญ

หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ

ศิษย์ตถาคตผู้มีสัจจะศรัทธาเป็นเครื่องนำทาง

  หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ แห่งวัดอรัญบรรพต จังหวัดหนองคาย พระนักปฏิบัติผู้มักตั้งสัจจะศรัทธาให้เป็นเป้าหมายในการภาวนา ชีวิตในผ้าเหลืองของท่านเริ่มจากการเห็นความไม่เที่ยงของสรรพสิ่ง เห็นความลวงของความสุขที่ทำให้ติดกับแห่งทุกข์ตั้งแต่เป็นฆารวาส จนตัดสินใจพ้นทุกข์โดยมุ่งเข้าสู่โลกทางธรรม แบบตายเป็นตาย

  ท่านมีนามเดิมว่า เหรียญ  ใจขาน เกิดเมื่อวันที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2455 ณ บ้านหม้อ ตำบลบ้านหม้อ อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย บิดามารดามีอาชีพทำนา ทำสวน เลี้ยงสัตว์ มารดาได้เสียชีวิตไปตายตั้งแต่ท่านอายุได้ 10 ปี บิดามีภรรยาใหม่ ท่านจึงได้ไปอยู่กับคุณยาย และเรียนหนังสือไทยจบในปีนั้น

  เมื่ออายุได้ 13 ปี ท่านจึงได้กลับไปอยู่กับบิดาและมารดาเลี้ยงเพื่อช่วยทำงาน ท่านเป็นคนเอาการเอางาน หากทำการอย่างใดก็จะทำให้เสร็จ ไม่ทอดทิ้งการงาน ไม่ทำเหลาะแหละเหลวไหล ไม่ชอบเอาเปรียบผู้อื่น และไม่ชอบทะเลาะกับใคร ถ้าจะมีเหตุให้ทะเลาะกันก็ต้องหาทางหลีกเลี่ยง และมีความอดทนต่อคำด่าว่าติเตียนต่างๆ ไม่ถือมั่นไว้ในใจ

จิตมีธรรม ปรารถนาออกบวช

  ครั้นเมื่ออายุย่างเข้า 20 ปี ก็คิดว่าจะครองเรือนเช่นเดียวกับคนทั้งหลายที่เขาครองกัน แต่ก็เกิดสิ่งดลใจ นึกถึงความทุกข์ในชีวิตปัจจุบันว่า เกิดมาแล้วต้องทำการงาน และงานที่ทำนั้นก็ไม่รู้จักจบสิ้น เช่น ทำนา ทำปีนี้แล้วได้ข้าวใส่ยุ้งไว้รับประทานบ้าง ขายบ้าง ครั้นถึงปีใหม่มา ข้าวในยุ้งก็จวนจะหมดแล้ว ต้องทำนาอีกต่อไปอย่างนี้ทุกปี จึงถามตัวเองว่าเมื่อไรจึงจะได้ยุติจากการทำนาทำสวนเล่า ท่านตอบตนเองว่า ไม่มีทางยุติได้ถ้าไม่วางมือหนีไปบวชเสีย การทำนาทำสวนมีแต่ทุกข์ หลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน และก็ไม่มีอะไรเป็นแก่นสารสักอย่างเดียว ตายแล้วก็ไม่ได้อะไรติดตัวไป มีแต่ทิ้งไว้ในโลกนี้ทั้งหมด

  ท่านได้ตั้งปัญหาถามตนเองต่อไปอีกว่า แล้วทำไมคนทั้งหลายจึงชอบใจกับความเป็นอยู่เช่นนี้นัก และพบคำตอบในใจตนเองว่า คนทั้งหลายไม่ได้ใช้ปัญญาพิจารณาเหตุผลในเรื่องนี้ให้รู้เห็นโดยแจ่มแจ้งตามความเป็นจริง จึงไม่เบื่อหน่าย อนึ่ง สิ่งทั้งปวงในโลกนี้มิใช่ว่าจะอำนวยแต่ความทุกข์ให้เท่านั้น บางทีมันก็อำนวยความสุขให้เหมือนกัน ดังนั้น คนจึงติดมัน ท่านพิจารณาเห็นว่า ความสุขเป็นสิ่งชั่วคราวไม่ยั่งยืน  และมองเห็นว่ามีทุกข์มากกว่าสุข ความสุขเป็นเพียงเหยื่อล่อให้ติดอยู่ในทุกข์เท่านั้น  และสุดท้ายก็ต้องตาย เมื่อจิตละไปแล้ว ก็ต้องแตกสลายออกจากกัน ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย

  เมื่อพิจารณาถึงตอนนี้ ปรากฏในใจว่าร่างกายนี้แตกกระจายออกไปหมด เพ่งไปไหนก็เห็นแต่อากาศว่างไปหมดทั้งโลก ไม่มีสัตว์ ไม่มีคน จึงเกิดความสังเวชสลดใจเป็นอย่างยิ่งว่า โอหนอโลกนี้ช่างไม่จิรังยั่งยืนจริงๆ ทำอย่างไรหนอเราจึงจะพ้นจากโลกนี้ไปได้  แล้วจึงตอบตนเองว่า มีแต่การบวชเท่านั้น จะพอเป็นหนทางพ้นได้  จึงเกิดศรัทธาอยากบวชขึ้นมาในใจอย่างรุนแรงจนถึงกับเบื่อหน่ายต่อการงานทุกอย่าง จึงได้ขอลาบิดามารดาออกบวช แม้บิดาจะขอร้องไว้ ให้ช่วยทำยุ้งใส่ข้าวเสียก่อนจึงค่อยบวช เพราะใช้มานานจนชำรุดมาก แต่ท่านก็ยืนยันที่จะบวช ตอบบิดาไปว่า “เห็นจะช่วยทำไม่ได้ดอก มือไม้อะไรอ่อนหมด ไม่สามารถจะทำงานต่อไปได้อีก” เมื่อบิดาเห็นว่าท่านมีความต้องการออกบวชอย่างแรงกล้า จึงได้อนุญาตให้ไปบวชตามประสงค์

สัจจบารมี มุ่งบรรลุธรรม

  หลวงปู่เหรียญออกบวชเมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2475 เริ่มจำวัดที่วัดโพธิ์ชัย พระอาจารย์ที่วัดสอนให้ภาวนาอนุสสติ 10 ท่านก็ปฏิบัติอย่างเคร่งครัด บริกรรมในใจว่า พุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ ไปจนถึง อุปสมานุสสติ จบแล้วตั้งใหม่เรื่อยไป รู้สึกว่าจิตสงบเบิกบานดีพอสมควร ไม่เฉพาะแต่ยามนั่งสมาธิเท่านั้นที่บริกรรม แม้แต่ยืนเดินนอนก็บริกรรมเป็นอารมณ์ติดต่อกันไป

  ครั้นถึงเดือนพฤษภาคมปีนั้นเอง ก็ได้ไปจำพรรษาที่วัดศรีสุมัง อำเภอเมือง จังหวัดหนองคายเพื่อเรียนนักธรรม จึงได้มีโอกาสเรียนถามเรื่องการภาวนากับท่านอาจารย์บุญจันทร์ รองเจ้าอาวาส ว่า “ผมภาวนาอนุสสติ 10 อยู่ทุกวันนี้ไม่ทราบว่าถูกหรือไม่?”

  ท่านตอบว่า ถ้าให้ถูกตามหลักจริงๆ ก็คงไม่ถูก เพราะว่าการเจริญบริกรรมภาวนานั้น สามารถเลือกเอากรรมฐานบทใดบทหนึ่งที่ถูกกับจริตของตน แล้วบริกรรมแต่เฉพาะบทเดียวเท่านั้น จิตจึงจะสงบเป็นหนึ่งได้เร็ว และได้แนะให้บริกรรม “พุทโธ” เป็นอารมณ์ จากนั้นภิกษุเหรียญก็บริกรรมพุทโธ ตั้งแต่นั้นมา

  ในพรรษา ท่านเรียนทั้งนักธรรม และฝึกภาวนาไปพร้อมๆ กัน ตอนกลางวันเข้าเรียนนักธรรม ตอนกลางคืนตั้งแต่ย่ำค่ำไปก็ทำวัตรสวดมนต์ เสร็จแล้วก็นั่งท่องหนังสืออยู่ตามลานวัดไปจนถึงเที่ยงคืน จากนั้นก็เข้ากุฏิไหว้พระส่วนตัว เสร็จแล้วก็นั่งขัดสมาธิ เอาขาขวาทับขาซ้าย เอามือขวาวางทับมือซ้าย ตั้งกายให้ตรง ดำรงสติเฉพาะหน้า หลับตาแล้วอธิษฐานใจ นึกถึงคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ว่าเป็นที่พึ่งอันประเสริฐ ตั้งจิตอธิษฐษานขอให้จิตสงบลงเป็นหนึ่ง อย่าได้ฟุ้งซ่านไปทางอื่น ขอให้รู้แจ้งในธรรมที่ควรรู้ควรเห็น คือ อริยสัจสี่ ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าแสดงไว้ดีแล้ว

  ครั้นอธิษฐานเสร็จแล้วก็บริกรรมแต่ “พุทโธ” อย่างเดียว ครั้งแรกพุทโธไม่ได้อยู่กับตัว จิตวิ่งไปไกลแสนไกล แต่สติก็ตามรู้ไปเสมอ และพยายามนึกพุทโธให้ใกล้ตัวเข้ามาโดยลำดับ ในที่สุดพุทโธก็เข้ามาอยู่ที่กายแล้วน้อมเข้าไปที่ใจ เมื่อพุทโธเข้าไปถึงที่ใจแล้ว ใจก็ค่อยสงบลงโดยลำดับ เมื่อรู้ว่าจิตสงบลงแล้วจึงจำวัด ก็ถึงเวลาตีสี่ ซึ่งก็ถึงเวลาทำวัตรเช้า เสร็จแล้วก็ออกบิณฑบาต ฉันเช้า แล้วก็ดูหนังสือนักธรรม พอเที่ยงครึ่งก็ไปเรียนนักธรรมที่วัดอื่นซึ่งอยู่ใกล้กัน ค่ำลงก็ไปรวมกันทำวัตรสวดมนต์ในอุโบสถ หมุนเวียนกันไปอย่างนี้จนตลอดพรรษา จนเมื่อสอบนักธรรมเสร็จแล้ว ก็ได้ลาเจ้าอาวาสกลับวัดโพธิ์ชัยเช่นเดิม

มารผจญ

  เมื่อครั้งตั้งใจจะออกไปอยู่ป่าก็มี “มาร” ซึ่งก็คือกิเลสขัดขวางให้เกิดความรู้สึกนึกคิดขึ้นเป็นสองทาง ทางหนึ่งอยากสึกออกไปครองเรือน อีกทางหนึ่งอยากออกปฏิบัติเจริญสมถวิปัสสนาตามที่ตั้งใจไว้ กิเลสมาสกัดท่านไว้เช่นนี้ วันแล้วก็วันเล่า ไม่สามารถตัดสินใจเลือกทางใดทางหนึ่งได้

  สุดท้าย ภิกษุเหรียญจึงตัดสินใจว่าจะไม่ฉันข้าวหนึ่งวัน พอตกตอนค่ำก็ห่มผ้าพาดสังฆาฏิแล้วทำวัตร เสร็จแล้วอธิษฐานในใจว่า

  “บัดนี้ข้าพเจ้าจะนั่งสมาธิภาวนาเพื่อพิจารณาตัดสินใจลงทางใดทางหนึ่งให้จงได้ คือจะสึก หรือจะออกปฏิบัติ ถ้าหากข้าพเจ้าตัดสินใจลงทางหนึ่งทางใดไม่ได้ ก็จะไม่ลุกจากที่นั่งนี้เลย”

  เมื่ออธิษฐานเสร็จก็นั่งขัดสมาธิ เพ่งจิตให้เข้าถึงความสงบ แต่ก็มีนางตัณหาก็มากระซิบจิตให้นึกถึงความสุขทางโลก จิตก็ฟุ้งซ่านไปตามอำนาจของมาร กลับไปกลับมาอยู่อย่างนี้ พร้อมกับความเมื่อยแข้งขาก็มากขึ้นเป็นกำลัง เป็นไปอย่างแรง

  แต่ด้วยหลวงปู่เหรียญใช้ปัญญาพิจารณาต่อสู้กับกิเลส กอรปกับยึดสัจธิษฐานเป็นที่มั่นว่า ถ้าตัดสินใจไม่ลงทางใดทางหนึ่งโดยเด็ดขาดก็ไม่ลุกจากที่นั่งจริงๆ ตายเป็นตาย  ในที่สุดก็ตัดสินใจลงทางไม่สึกแน่นอน ได้ถามตัวเองถึงสามครั้งก็ยืนยันอยู่อย่างนั้นทั้งสามครั้ง ต่อจากนั้นจึงคลายจากสมาธิ

  รุ่งเช้า เมื่อญาติโยมมาถวายจังหัน ก็ได้ร่ำลาญาติโยมออกไปอยู่ป่าออกธุงดงควัตรเพื่อเจริญบำเพ็ญภาวนาอย่างเคร่งครัด

พบพระอาจารย์มั่น แม่ทัพแห่งเหล่านักรบธรรมชี้ทางสว่าง

  ระหว่างการทำภาวนา หลวงปู่เหรียญท่านพบว่า จิตสงบพร้อมกับความรู้เป็นอย่างดี คล้ายหมดกิเลส แต่เมื่อมีเรื่องต่างๆ มากระทบ กลับยังรู้สึกว่าจิตผิดปกติ หวั่นไหวไปตามอารมณ์นั้นๆ อยู่บ้าง แม่ไม่รุนแรง แต่ก็รู้ว่ากิเลสยังไม่หมดสิ้น ...หากแต่ท่านพยายามแก้อย่างไร ก็แก้ไม่ตก

  จนเมื่อหลวงปู่เหรียญได้มีโอกาสพบกับหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต พระอาจารย์ใหญ่สายพระป่ากัมมัฏฐานและได้รับคำแนะนำเรื่องการภาวนาว่า

  “นักภาวนาทั้งหลายพากันติดความสุขที่เกิดจากสมาธิโดยส่วนเดียว เมื่อทำจิตให้สงบแล้วก็สำคัญว่าความสงบนั้นแหละเป็นความสุขอันยอดเยี่ยม จึงไม่ต้องการพิจารณาค้นคว้าหาความจริงของชีวิตแต่อย่างใด”

  เมื่อได้ฟังโอวาทจากพระอาจารย์มั่นแล้ว หลวงปู่เหรียญจึงได้รู้ว่าตนเองเพียงแต่เจริญสมถะเท่านั้น ไม่ได้เจริญวิปัสสนาเพื่อความรู้แจ้งในธรรมที่ควรรู้ควรเห็น คืออริยสัจสี่ ถึงเจริญปัญญาบ้างก็เป็นไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่มากพอที่จะรู้แจ้งได้...จึงได้เร่งทำความเพียรให้ยิ่งไปกว่าเดิม

  ระหว่างทางแห่งการเจริญภาวนา หลวงปู่เหรียญได้ฝึกฝนอย่างไม่ท้อถอย ถึงแม้จะเคยเกิดความหวั่นไหวต่อหญิงคนรักจนทุกข์ทรมาน อยากสึกจากการเป็นพระไปครองเรือน แต่ก็ได้ต่อสู้กับตัวเองจนเห็นแจ้งถึงความทุกข์ในโลกนี้ว่า ขนาดบวชอยู่ก็ยังเป็นทุกข์ถึงขนาดนี้ ถ้าสึกออกไป ความทุกข์ของผู้ครองเรือนคงจะมากกว่าหลายเท่า ในที่สุดก็ตัดสินใจว่าไม่สึกและมุ่งหน้าปฏิบัติกรรมฐานอย่างเคร่งครัด

  หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ เป็นพระกัมมัฏฐาน ถือธุดงควัตร ฉันสำรวมในบาตรมื้อเดียว ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เคร่งในพระธรรมวินัย ท่านเป็นอีก นักรบธรรมผู้ต่อสู้กับกิเลสอย่างห้าวหาญ ด้วยปัญญา และสัจธิษฐาน มุ่งสู่ความรู้แจ้งแห่งธรรมแบบตายเป็นตาย

 

หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ(PDF)

อ่านต่อ
error: Content is protected !!