บ้านไทยภาคใต้

เรือนภาคใต้

  บ้านเรือนเป็นปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญของมนุษย์ เพื่อป้องกันอันตรายจากลมฟ้าอากาศและสัตว์ร้าย จึงต้องสร้างให้เหมาะสมกับลักษณะภูมิประเทศ ดินฟ้าอากาศ ตลอดจนจารีตประเพณีทางสังคม และรูปแบบการดำเนินชีวิต

  ภาคใต้ของประเทศไทยมีสภาพทางภูมิศาสตร์ที่แตกต่างไปจากภาคอื่น ๆ ของประเทศ กล่าวคือ มีลักษณะเป็นแหลมหรือคาบสมุทรยื่นออกไปจนจรดประเทศมาเลเซีย ล้อมรอบด้วยฝั่งทะเลทั้งสองฝั่ง ทำให้แถบถิ่นนี้มีอากาศร้อน ฝนตกชุก ความชื้นสูง มีเพียง 2 ฤดูคือ ฤดูร้อนและฤดูฝน ในฤดูร้อนอากาศจะไม่ร้อนจัด แต่ในฤดูฝน ฝนจะตกชุกมากกว่าภาคอื่น ลักษณะทางภูมิศาสตร์และภูมิอากาศดังกล่าวนี้ จึงมีอิทธิพลต่อการกำหนดรูปแบบเรือนพักอาศัยของประชาชนในภาคใต้เป็นอย่างมาก

  ในส่วนของสภาพสังคมและวัฒนธรรมที่มีประชากรทั้งชาวไทยพุทธ ชาวไทยเชื้อสายจีน และในพื้นที่ภาคใต้ตอนล่าง ประชากรส่วนมากเป็นชาวไทยมุสลิม ทำให้แต่ละแถบถิ่นมีขนบธรรมเนียม วัฒนธรรม ประเพณี ความเชื่อที่ค่อนข้างแตกต่างกัน

ลักษณะทั่วไปของเรือนไทยในภาคใต้
  ส่วนใหญ่เป็นเรือนไม้ แบ่งออกเป็น เรือนเครื่องผูก เรือนเครื่องสับ และเรือนก่ออิฐฉาบปูน  โดยเอกลักษณ์เด่นของเรือนภาคใต้ คือ

ตัวเรือน

  ตัวเรือนใต้ถุนยกสูงมีระเบียงและนอกชานลดหลั่นกัน กั้นฝาด้วยแผ่นกระดานตีเกร็ดตามแนวนอน กั้นห้องสำหรับเป็นห้องนอน 1 ห้อง อีกห้องหนึ่งปล่อยโล่ง ด้านหน้าบ้านมีระเบียงด้านข้าง เรือนเครื่องสับในภาคใต้จะทำช่องหน้าต่างแคบๆ หลังคาทำทรงจั่วถากจันทันให้แอ่นแบบเดียวกับเรือนไทยภาคกลางแต่ทรวดทรงเตี้ยกว่าเล็กน้อย ติดแผ่นปั้นลมแบบหางปลา ไม่นิยมทำตัวเหงา

เสาเรือน

  เป็นเสาไม้ตั้งบนฐานคอนกรีต แผ่นปูน หรือแผ่นหินเรียบๆ ที่โผล่ขึ้นมาจากพื้นดินไม่เกิน 1 ฟุต เพื่อกันมิให้ปลวกกัดตีนเสา และป้องกันไม่ให้เสาผุจากความชื้นของดิน ตีนเสาตอนล่างห่างจากพื้นดินประมาณ 1- 2 ฟุต มีไม้ร้อยทะลุเสาทุกต้นตามความยาวของเรือน 3 แถว เพื่อทำหน้าที่ยึดโครงสร้างของเรือนให้แข็งแรงมากขึ้น ทั้งนี้เพราะสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติซึ่งเกิดพายุไต้ฝุ่น พายุฝน ลมแรงอยู่เสมอ จึงจำเป็นต้องมีโครงสร้างที่แข็งแรง และหากจำเป็นต้องทำการย้ายบ้านก็สามารถปลดกระเบื้องลง ตีไม้ยึดโครงสร้างเสาเป็นรูปกากบาท แล้วหามย้ายไปตั้งในที่ที่ต้องการ แล้วนำกระเบื้องขึ้นมุงใหม่ได้อย่างสะดวก ลักษณะเรือนไทยเป็นเรือนยกพื้นสูง แต่ว่าไม่สูงจนเกินไป พอที่จะเดินลอดได้

หลังคาเรือน

  รูปทรงหลังคาจะมีความลาดเอียงมาก เพื่อระบายน้ำฝนจากหลังคา บ้านเรือนแถบ ชายทะเลฝั่งตะวันออกซึ่งติดกับอ่าวไทย และแถบชายทะเลฝั่งตะวันตกซึ่งติดกับทะเลอันดามัน มีความแตกต่างกันเล็กน้อย โดยที่พื้นที่ทางฝั่งตะวันออกด้านอ่าวไทยเป็นชุมชนที่เก่าแก่มากกว่า บ้านเรือนแถบชายฝั่งทะเลตะวันออกมักเป็นเรือนหลังคาหน้าจั่วทรงสูงแบบเรือนไทยภาคกลาง แต่ไม่นิยมทำปั้นลมและตัวเหงา

หลังคาสำหรับเรือนภาคใต้มี 3 แบบ คือ

หลังคาจั่ว

  หรือที่ชาวมุสลิมเรียกว่า “แมและ” เชื่อว่าได้รับอิทธิพลจากเรือนไทยภาคกลาง แต่จะมีข้อแตกต่างตรงที่มีปั้นลมปีกนกที่ได้รับอิทธิพลจากรูปแบบสถาปัตยกรรมจากมาเลเซีย ไม่เหมือนปั้นลมไทย ซึ่งปลายปั้นลมทั้งสองข้างจะมีเหงาปั้นลมประดับอยู่

  ในชุมชนที่ประกอบอาชีพกสิกรรมและประมงจะปลูกสร้างเรือนหลังคาทรงจั่ว ไม่มีการตกแต่งหน้าจั่ว วัสดุมุงหลังคาส่วนใหญ่ใช้ใบจาก แต่บางเรือนที่มีฐานะดีจะมุงกระเบื้องเพื่อความมั่นคงแข็งแรง ความลาดชันของหลังคาขึ้นอยู่กับวัสดุมุงหลังคาในท้องถิ่นนั้นว่าจะใช้กระเบื้องดินเผาหรือกระเบื้องขนมเปียกปูน หรือมุงแฝกจากเรือนเครื่องผูก หลังคาทรงจั่วปลูกสร้างง่ายด้วยตนเอง ด้วยวัสดุหาง่าย และโยกย้ายได้ง่าย

  ส่วนเรือนเครื่องสับ สำหรับผู้มีฐานะดี หลังคาจั่วเป็นรูปตรง ทรงไม่สูง ตกแต่งหน้าจั่วยอดด้วยกระเบื้องแผ่นสี่เหลี่ยมเชิงชาย และช่องลมใต้เพดานแต่งด้วยไม้ฉลุสวยงาม

หลังคาปั้นหยา หรือหลังคาลีมะ

  นับได้ว่าเป็นเอกลักษณ์และพบได้ทั่วไปในภาคใต้ เป็นหลังคามุงกระเบื้องแผ่นสี่เหลี่ยม หัวท้ายของหลังคาเป็นรูปลาดเอียงแบบตัดเหลี่ยม ต้องครอบตรงรอยตัดเหลี่ยมไว้เพื่อกันน้ำฝนรั่ว โครงสร้างหลังคาแบบนี้แข็งแรงมาก สามารถทนรับฝน ต้านแรงลม หรือพายุไต้ฝุ่นได้ดีมาก ส่วนใหญ่พบทางแถบจังหวัดสงขลา

  ส่วนหลังคาปั้นหยาในเรือนมุสลิม เรียกว่า “หลังคาลีมะ” คำว่า “ลีมะ” แปลว่า “ห้า” หมายถึงหลังคาที่นับสันหลังคาได้ 5 สัน เป็นการผสมผสานหลังคาปั้นหยาแบบไทยกับอิทธิพลจากสถาปัตยกรรมแบบอาณานิคมของชาวตะวันตกไว้ด้วยกัน

หลังคาจั่วมนิลา

  เป็นการผสมผสานระหว่างหลังคาจั่วผสมหลังคาปั้นหยา มีโครงสร้างเช่นเดียวกับหลังคาปั้นหยา แต่มีจั่วติดอยู่เพื่อระบายอากาศและดูสวยงาม ส่วนหน้าจั่วค่อนข้างเตี้ย ส่วนล่างของจั่วเป็นหลังคาลาดเอียงลงมารับกับหลังคาด้านยาวซึ่งลาดเอียงตลอด และเพิ่มเติมลายไม้กลมฉลุไม้ที่ส่วนยอด พบมากในจังหวัดปัตตานี  และชุมชนมุสลิม โดยสัดส่วนของหลังคาจะมีทรงสูงต่ำอย่างไรขึ้นอยู่กับช่างก่อสร้างและวัสดุมุงหลังคาในท้องถิ่นนั้น เช่น ถ้าใช้กระเบื้องดินเผา หรือใช้กระเบื้องขนมเปียกปูน หรือมุงแฝกจาก ความลาดชันของหลังคาจะไม่เท่ากัน

ชาวมุสลิมเรียกหลังคาแบบนี้ว่า บลานอร์ ซึ่งหมายถึง ชาวฮอลันดา เพราะเชื่อว่าได้รับอิทธิพลมาจากสถาปัตยกรรมของชาวฮอลันดานั่นเอง

  หลังคาบลานอร์นี้จะมีรูปแบบที่สวยงามกว่าแบบอื่น เหมาะที่จะมีจั่วอย่างน้อย 3 จั่ว โดยมีหลังจั่วแฝด และมีจั่วขนาดเล็กสร้างคลุมเฉลียงหน้าบ้านติดกับบันไดทางขึ้น เพื่อใช้รับรองแขกอย่างไม่เป็นทางการ นิยมสร้างอย่างประณีตเพื่อแสดงฝีมือเชิงช่างในการประดิษฐ์ลวดลายด้วยการแกะสลักไม้ ปูนปั้นเป็นลวดลายประดับประดายอดจั่ว และมีการเขียนลายบนหน้าจั่ว หรือตีไม้ให้มีลวดลายเป็นแสงตะวัน

เรือนไทยมุสลิม
  สำหรับเรือนพักอาศัยของชาวไทยใน 4 จังหวัดภาคใต้ มีลักษณะร่วมกับเรือนพักอาศัยทางตอนเหนือของมาเลเซีย คือมักเป็นเรือนแฝด และสามารถต่อขยายไปได้ตามลักษณะของครอบครัวขยาย โดยมีชานเชื่อมต่อกัน และมีการเล่นระดับพื้นเรือนให้ลดหลั่นกันไป

  เรือนไทยมุสลิมจะมีการกั้นห้องเป็นสัดส่วนเท่าที่จำเป็นเท่านั้น นอกนั้นจะปล่อยพื้นที่ให้โล่ง เพราะต้องใช้เรือนเป็นที่ประกอบพิธีทางศาสนา บางตัวเรือนมีการกำหนดพื้นที่สำหรับใช้ทำพิธีละหมาด ซึ่งเป็นกิจวัตรที่ต้องกระทำวันละ 5 ครั้งอย่างชัดเจน

  นอกจากนั้นยังไม่นิยมตีฝ้าเพดาน เพราะภาคใต้มีอากาศร้อนและฝนตกชุก อากาศจึงอบอ้าว และมักจะเว้นช่องลมใต้หลังคาให้ลมโกรกอยู่ตลอดเวลา การที่ตัวเรือนยกพื้นสูง ชาวไทยมุสลิมจึงสามารถใช้ใต้ถุนประกอบกิจกรรมต่าง ๆ ที่ส่งเสริมการดำรงชีวิตได้เป็นอย่างดี เช่น ใช้เป็นบริเวณประกอบอาชีพเสริม คือ ทำกรงนก สานเสื่อกระจูด หรืออาจใช้วางแคร่เพื่อพักผ่อน บางบ้านอาจกั้นเป็นคอกสัตว์ เป็นต้น

  เนื่องจากประเพณีความเป็นอยู่ของชาวไทยมุสลิมจะแยกกิจกรรมของชายหญิงอย่างชัดเจน ตัวเรือนจึงนิยมมีบันไดไว้ทั้งทางขึ้นหน้าบ้านและทางขึ้นครัว โดยทั่วไปผู้ชายจะใช้บันไดหน้า ส่วนผู้หญิงจะใช้บันไดหลังบ้าน รวมทั้งเป็นการไม่รบกวนแขกในการเดินผ่านไปมาอีกด้วย

  ลักษณะเด่นทางสถาปัตยกรรมของเรือนไทยมุสลิมอีกอย่างคือ การสร้างเรือนโดยการผลิตส่วนประกอบของเรือนก่อน แล้วจึงนำส่วนต่างๆ เหล่านั้นขึ้นประกอบกันเป็นตัวเรือนอีกทีหนึ่ง เมื่อต้องการย้ายไปประกอบในพื้นที่อื่น ๆ ตัวเรือนก็สามารถแยกออกได้ส่วน ๆ ได้เสาเรือนจะไม่ฝังลงดิน แต่จะเชื่อมยึดต่อกับตอม่อหรือฐานเสาเพื่อป้องกันปลวก เนื่องจากมีความชื้นสูงมาก

  นอกจากนี้เรือนไทยมุสลิมยังแยกส่วนที่อยู่อาศัย (แม่เรือน) ออกจากครัว โดยใช้เฉลียงเชื่อมต่อกัน ทั้งนี้เพราะเชื่อว่าบริเวณแม่เรือนเป็นบริเวณที่สะอาด ส่วนบริเวณครัวนั้นสามารถทำสกปรกได้โดยง่าย และยังสามารถดับเพลิงได้สะดวกเมื่อเกิดเพลิงไหม้บริเวณครัว

  ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ปัตตานีได้ชื่อว่าเป็นเมืองศูนย์กลางของวัฒนธรรมอิสลามซึ่งสืบทอดมาตั้งแต่สมัยโบราณ ด้วยลักษณะทางภูมิศาสตร์ที่มีพื้นที่ติดชายฝั่งตะวันออกคือ อ่าวไทย และมีอาณาเขตติดต่อกับจังหวัดยะลาและนราธิวาสซี่งเป็นภูเขา หมู่บ้านของชาวไทยมุสลิมในจังหวัดปัตตานีจึงมีลักษณะหลากหลาย ทั้งหมู่บ้านชาวประมง ชาวสวนยางพารา ชาวนา และชาวสวนผลไม้ ทำให้รูปแบบการตั้งถิ่นฐานของชุมชนมีครบทั้ง 3 รูปแบบ กล่าวคือ แบบเป็นกระจุก, แบบกระจัดกระจาย และแบบเรียงรายไปตามแนวชายฝั่งทะเล หรือเส้นทางสัญจร

  นอกจากนี้ ปัตตานียังเป็นศูนย์กลางการค้าขายทางทะเลมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา รูปแบบสถาปัตยกรรมพื้นบ้านจึงมีความหลากหลาย ผสมผสานกันระหว่างสถาปัตยกรรมพื้นฐานของภูมิภาคศูนย์สูตร และภาคกลาง มีการประดิษฐ์ลวดลายไม้แกะสลักทั้งบริเวณช่องลมและประดับฝาเรือน จนกลายเป็นอีกลักษณะเด่นของเรือนชาวไทยมุสลิมโบราณในจังหวัดปัตตานี

เรือนภาคใต้ (PDF)

อ่านต่อ
error: Content is protected !!