เรือนภาคเหนือ (เรือนล้านนา)
ด้วยภาคเหนือมีลักษณะภูมิประเทศตั้งแต่เป็นที่ราบลุ่มภูเขา หุบเขา และที่ดอนบนเทือกเขาสูง มีความสูงจากระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 1,500-3,000 เมตร นับตั้งแต่เทือกเขาด้านตะวันตกในเขตจังหวัดแม่ฮ่องสอน อ้อมมาส่วนเหนือที่จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย และด้านตะวันออกที่จังหวัดน่าน
ลักษณะสภาพทางภูมิศาสตร์ข้างต้น ทำให้เกิดการตั้งถิ่นฐานขึ้น 2 แบบคือ ด้วยลักษณะสภาพทางภูมิศาสตร์ดังกล่าวทำให้เกิดการตั้งถิ่นฐาน 2 แบบ คือ ที่ดอนบนดอย หรือทิวเขา เป็นที่อยู่ของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ทำกสิกรรมแบบไร่เลื่อนลอย และบนที่ราบลุ่มอันเป็นบ่อเกิดของวัฒนธรรมล้านนา
การตั้งถิ่นฐานในภาคเหนือ เริ่มตั้งแต่เรือนหลังเดียวในเนื้อที่หุบเขาแคบ จนถึงระดับหมู่บ้านและเมือง ซึ่งการขนานนามหมู่บ้านนั้นขึ้นอยู่กับสภาพที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ เช่น หมู่บ้านที่ขึ้นต้นด้วย “ปง” คือบริเวณที่มีน้ำซับ “สัน” คือบริเวณสันเนินหรือมีดอน “หนอง” หมายถึงบึงกว้าง “แม่” คือที่ตั้งที่มีลำธารไหลผ่าน ดังนั้นชื่อเดิมของหมู่บ้านจึงเป็นการบอกลักษณะการตั้งถิ่นฐานแต่แรกเริ่ม
จากสภาพการตั้งถิ่นฐานของชุมชนภาคเหนือ ทำให้เกิดเรือนประเภทต่างๆ ขึ้นตามสภาพการใช้งาน เรียกรวมๆ ว่า “เรือนล้านนา” แบ่งเป็นเรือนชนบท เรือนไม้แบบล้านนาหรือเฮือนบ่าเก่า และเรือนกาแล (ซึ่งจัดแสดงที่ ณ สัทธา อุทยานไทย)
เรือนกาแล
เป็นเรือนพักอาศัยของผู้มีอันจะกิน ผู้นำชุมชนหรือบุคคลชั้นสูงในสังคม เรือนประเภทนี้เป็นเรือนที่สร้างด้วยไม้เนื้อแข็ง หรือไม้จริงทั้งหมด มีลักษณะพิเศษคือมียอดจั่วประดับกาแล เป็นลักษณะของไม้ป้านลม หลังคาส่วนปลายยอดที่ไขว้กัน ชาวเหนือเรียกส่วนที่ไขว้กันนี้ว่า “กาแล” เป็นไม้สลักที่งดงาม ฝีมือช่างประณีต นิยมมุงกระเบื้องไม้เรียก “แป้นเกล็ด” แต่ปัจจุบันไม้เป็นวัสดุหายากมีราคาแพง จึงเปลี่ยนมาใช้ “ดินขอ” มุงหลังคาแทน
เรือนกาแลเป็นเรือนที่แสดงถึงเอกลักษณ์ของชาวล้านนาอย่างชัดเจน มีแบบแผนค่อนข้างตายตัว ทั้งการวางผังพื้นที่ การจัดห้องต่างๆ ภายในตัวเรือน ตลอดจนรูปทรง
ส่วนใหญ่เป็นเรือนแฝด มีขนาดตั้งแต่ 1 ห้องนอนขึ้นไป เรือนกาแลจะมีแผนผัง 2 แบบใหญ่ๆ คือ แบบเอาบันไดขึ้นตรงติดชานนอกโดดๆ กับแบบเอาบันไดอิงชิดแนบฝาใต้ชายคาคลุม แต่ทั้งสองแบบจะใช้ร้านน้ำตั้งเป็นหน่วยโดดๆ มีโครงสร้างของตนเองไม่นิยมตีฝ้าเพดาน หรือบางกลุ่มประกอบด้วยเรือนหลายหลังเป็นกลุ่มใหญ่
เรือนชนิดนี้เป็นเรือนที่แสดงถึงวิวัฒนาการของกระบวนการก่อสร้างบ้านพักอาศัยที่สะท้อนรูปแบบแผนการดำเนินชีวิตตามระเบียบประเพณีแบบดั้งเดิมของชาวล้านนา ก่อนได้รับอิทธิพลการสร้างบ้านจากต่างถิ่นเข้ามาผสมผสาน
ปัจจุบันหาเรือนกาแลแบบดั้งเดิมเช่นนี้ดูได้ยากมาก มีหลงเหลือให้เห็นเพียงไม่กี่หลัง
ความเป็นมาของกาแล มีข้อสันนิษฐานดังนี้
- คำว่า “กาแล” อาจจะเพี้ยนมาจากคำ “กะแลง” ซึ่งมีความหมายว่า ไขว้กันอยู่
- รูปลักษณะอาจพัฒนามาจากเรือนไม้ไผ่มุงหลังคาด้วยใบตองตึง (ใบพลวง) ซึ่งต้องมีไม้ปิดหัวท้ายตรงสันหลังคาตอนหน้าจั่ว เมื่อพัฒนาเป็นเรือนไม้จึงมุงด้วยกระเบื้องดินขอ และการใช้ไม้เป็นแผ่นสี่เหลี่ยมไขว้กันแบบธรรมดาคงไม่เกิดความงาม จึงคิดประดิษฐ์แกะสลักปลายไม้ ให้เกิดความอ่อนโค้งงดงามด้วย
- อาจได้รับอิทธิพลมาจากชาวพื้นเมืองเดิม คือ พวกลัวะ (ละว้า) เนื่องจากเรือนแบบดั้งเดิมของพวกลัวะจะมีการใช้กาแลนี้ประดับ โดยแต่ละแห่งจะแกะสลักลวดลายเฉพาะ เป็นเครื่องหมายบอกถึงเชื้อตระกูล ชาวล้านนา (โดยเฉพาะเชียงใหม่) จึงอาจจะรับรูปแบบมาแล้วพัฒนาเป็นรูปแบบของตนเองในภายหลัง
- อาจจะทำไว้ให้มีความหมายเพื่อเป็นสิริมงคล หรือป้องกันไม่ให้แร้ง กา มาเกาะหลังคา (เพราะถือว่าเป็นเสนียด อัปมงคล) นอกจากนี้ยังคงเป็นเครื่องแสดงบอกฐานะของเจ้าของเรือนอีกด้วย
เรือนชนบท หรือเรือนเครื่องผูก
เป็นเรือนขนาดเล็ก เห็นได้ทั่วไปตามชนบท และหมู่บ้านต่างๆ เนื่องจากก่อสร้างง่าย ราคาถูก โครงสร้างหลังคามุงด้วยหญ้าแฝกหรือใบตองแห้ง ส่วนพื้นใช้ไม้ไผ่ คานและเสานิยมใช้ไม้เนื้อแข็ง ฝาเป็นไม้ไผ่สาน นิยมใช้ไม้ไผ่ทำเป็นตอกและหวายเป็นตัวยึดส่วนต่างๆ ของเรือนเข้าด้วยกัน ด้วยวิธีผูกมัด จึงเรียกกันว่า “เรือนเครื่องผูก” มักสร้างขึ้นกลางทุ่งนาเพื่ออาศัยเฝ้าทุ่ง หรือประโยชน์การใช้งานตามฤดูกาล มีลักษณะชั่วคราวอยู่ได้ 2-4 ปี เมื่อถึงฤดูฝนในปีหนึ่งๆ ต้องมีการซ่อมแซมครั้งใหญ่ มีการออกแบบโดยใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด มีสัดส่วนที่ลงตัว ค่อนข้างกระชับ
เรือนไม้ หรือเรือนเครื่องสับ
เรือนไม้เป็นเรือนของผู้มีอันจะกิน ทำด้วยไม้เนื้อแข็ง เช่น สัก เต็ง รัง ตะเคียน ไม้แดง ฯลฯ การปลูกเรือนประเภทนี้ไม่ใช้ตะปูตอก แต่ยึดให้ไม้ติดกันหรือประกอบกันโดยการใช้มีด สิ่ว หรือขวานถากไม้ให้เป็นรอยสับ แล้วประกอบเข้าด้วยกัน เรียกว่า การประกอบเข้าลิ้นสลักเดือย หลังคามุงกระเบื้อง (ดินขอ) หรือแป้นเกล็ด
องค์ประกอบของเรือนล้านนา
ข่วงบ้าน
ลักษณะเป็นลานดินกวาดเรียบกว้าง เป็นลานอเนกประสงค์ใช้ทำกิจกรรมต่างๆ เช่น เป็นพื้นที่วิ่งเล่นของเด็ก ใช้ตากพืชผลทางการเกษตร เป็นลานเชื่อมเส้นทางสัญจร หรือทางเดินเท้าให้เข้าสู่ตัวอาคาร และกระจายไปสู่ลานในบ้านข้างเคียงและถนนหลัก
บันไดเรือนและเสาแหล่งหมา
“บันไดเรือน” จะหลบอยู่ใต้ชายคาบ้านด้านซ้ายมือเสมอ จึงต้องมีเสาลอยรับโครงสร้างหลังคาด้านบนตั้งลอยอยู่ แต่โดยทั่วไปเรือนไม้มักจะยื่นโครงสร้างออกมาอีกส่วนหนึ่ง โดยทำเป็นชายคาคลุมบันได หรือเป็นโครงสร้างลอยตัว ส่วนเรือนแฝดประเภทมีชานเปิดหน้าเรือน ไม่หลบบันไดเข้าชายคา แต่วางบันไดชนชานโล่งหน้าเรือนอย่างเปิดเผย
“เสาแหล่งหมา” คือเสาลอยโดดๆ ต้นเดียว ที่ใช้รับชายคาทางเข้าซึ่งมาจากการที่ชาวเหนือนำหมามาผูกไว้ที่เสานี้นั่นเอง
เติ๋น
เป็นเนื้อที่กึ่งเปิดโล่ง มีขนาดใกล้เคียงหรือใหญ่กว่าห้องนอนเล็กน้อย ในกรณีของเรือนชนบท ใช้เป็นพื้นที่อเนกประสงค์ ถ้ามีแขกผู้น้อยมาหา เจ้าของบ้านจะนั่งบนเติ๋น แขกนั่งบนชานบันไดหรือเนื้อที่ที่มีระดับต่ำกว่า ถ้ามีแขกมีศักดิ์สูงกว่า เช่น ผู้ใหญ่ พระสงฆ์ เจ้าของบ้านก็จะนั่งถัดลงมา ในงานสวดศพก็จะใช้เนื้อที่นี้ประกอบพิธีกรรม ในกรณีที่มีลูกสาว ในเวลาค่ำคืนพวกหนุ่มก็มาแอ่วสาวที่เติ๋นนี้เอง เรือนที่มีห้องนอนเดียวจะใช้เติ๋นเป็นที่นอนของลูกชาย ลูกผู้หญิงนอนกับพ่อแม่ เพราะลูกชายประเภทแตกเนื้อหนุ่มออกเที่ยวยามค่ำคืนกลับมาดึกดื่นจะได้ไม่ต้องปลุกใคร เข้านอนได้เลย
ชานเรือน
คือพื้นไม้ระดับต่ำกว่าเติ๋น มักไม่มุงหลังคา เสารับชานเรียก “เสาจาน” ที่สุดชานด้านที่มีบันได มักเป็นที่ตั้งของฮ้านน้ำ (ร้านน้ำ)
ร้านน้ำหรือฮ้านน้ำ
คือหิ้งสำหรับวางหม้อน้ำดื่ม พร้อมที่แขวนกระบวยหิ้งน้ำ สูงประมาณ 80-100 เซนติเมตร หากหิ้งน้ำอยู่ที่ชานโล่งแจ้ง จะทำหลังคาคลุมลักษณะคล้ายเรือนเล็กๆ เพื่อมิให้แสงแดดส่องลงมาที่หม้อน้ำ หม้อน้ำนี้ยิ่งเก่ายิ่งดี เพราะมักจะมีตะใคร่น้ำเกาะภายนอก ช่วยให้น้ำในหม้อเย็นกว่าเดิม ข้างๆ หม้อน้ำจะวางซองน้ำบวย (ที่ใส่น้ำกระบวย) ทำจากไม้ระแนงเป็นรูปสามเหลี่ยมตัว V ใส่กระบวยที่ทำจากกะลามะพร้าวต่อด้ามไม้สัก บางทีสลักเสลาปลายด้ามเป็นรูปสัตว์ต่างๆ
ห้องนอน
ในระดับเรือนชนบท ห้องนอนจะมีขนาดใหญ่กว่าเนื้อที่ใช้งานอื่นๆ ฝาด้านทึบอยู่ชิดเติ๋น ประตูทางเข้าจะเปิดที่ผนังด้านโถงทางเดินที่ใช้ติดต่อกันทั้งบ้าน ส่วนเรือนไม้ที่มีตั้งแต่สองห้องนอนขึ้นไป บางทีรวมเนื้อที่ห้องนอนทั้งหมดแล้วอาจจะเท่าเติ๋นหรือเล็กกว่าเล็กน้อย
ในเรือนกาแล ห้องนอนมักจะมีขนาดใหญ่ ฝาล้มออก จัดเนื้อที่ห้องนอนออกเป็นสองส่วน ซีกหนึ่งใช้เป็นที่นอน อีกซีกใช้วางของ ระหว่างเนื้อที่ทั้งสองซีกมีแผ่นไม้กั้นกลาง (ไม้แป้นต้อง) ไม้ตัวนี้จะตัดความสั่นไหวของพื้นห้องนอนออกจากกันด้วย เมื่อใช้เดินออกจากห้องนอนในยามเช้า ขณะที่ผู้อื่นยังหลับอยู่ ทำให้พื้นที่ส่วนอื่นไม่ไหวไม่เกิดเสียงไม้เบียดตัวกัน
หิ้งผีปู่ย่า (หิ้งบรรพชน)
เป็นหิ้งที่อยู่เหนือหัวนอน ติดฝาด้านตะวันออกตรงมุมห้อง อยู่ติดเสา หรือระหว่างเสามงคลและเสาท้ายสุดของเรือน มักทำเป็นหิ้งเล็กๆ ยื่นจากฝาเข้ามาในห้องมีระดับสูงเท่าๆ หิ้งพระ
ผีปู่ย่า หมายถึง วิญญาณของบรรพชนที่สิงสถิตในห้องนอนนี้ และให้การคุ้มครองแก่ทุกคนที่อาศัยในห้องนี้ บนหิ้งมักมีพานหรือถาดใส่ดอกไม้ธูปเทียนจากการเซ่นไหว้เป็นครั้งคราว และเมื่อมีเหตุการณ์สำคัญ เช่น แต่งงาน เจ็บป่วย เป็นต้น
ห้องครัว
ห้องครัวจะอยู่ทางทิศตะวันตกของห้องนอนเสมอ โดยแยกไปอีกหลังหนึ่ง โดยวางขนานกับเรือนใหญ่หรือเรือนนอน มีช่องทางเดินแยกเรือนครัวออกจากเรือนนอน
เนื้อที่ที่ใช้ตั้งเตาไฟจะยกขึ้นมาเป็นแท่นไม้ทำด้วยกระบะไม้รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า อัดด้วยดินให้แน่นและเรียบสูงประมาณ 20 ซม. เป็นที่ฝัง “ก้อนเส้า” มักทำด้วยดินกี่ (อิฐ) 3 ก้อน ตั้งเอียงเข้าหากัน เพื่อใช้เป็นเตาไฟ และจัดวางอุปกรณ์หุงต้มต่างๆ อยู่บนแท่นไม้นี้ เป็นการป้องกันอัคคีภัย และช่วยให้นั่งทำงานสะดวก ส่วนเตาไฟ อาจจะทำ “ก้อนเส้า” ดังกล่าวนี้ 2 ชุด เพื่อสะดวกแก่การทำครัว ส่วนเหนือของเตาไฟจะมี “ข่า” ทำด้วยไม้จริงหรือไม้ไผ่ก็ได้ เป็นตารางสำหรับย่างพืชผล และเป็นที่รมควันพวกเครื่องจักสาน กระบุง ตะกร้า เพื่อกันตัวมอดและทำให้ทนทานอีกด้วย ตอนบนหลังคาระดับจั่วจะเจาะโปร่งเป็นช่อง เพื่อการระบายควันไฟขณะทำครัว
ส่วนอื่นๆ เช่น
ฮ่องริน หรือ ฮ่อมริน คือชายคาของเรือนนอนกับเรือนครัวที่มาจรดกันเหนือช่องทางเดิน โดยจะมีรางน้ำหรือฮ่องน้ำ (ร่องน้ำ) สำหรับรองน้ำฝนจากหลังคา
ควั่น ที่เก็บของที่ไม่ค่อยได้ใช้ในชีวิตประจำวัน อยู่บนเพดานโปร่งใต้หลังคาเติ๋น โดยนำไม้ไผ่มาทำเป็นตะแกรงโปร่งลายตารางสี่เหลี่ยม ยึดแขวนกับขื่อจันทัน และแปหัวเสาของเรือน เพดานตะแกรงโปร่ง
หำยน เป็นแผ่นไม้แกะสลักเหนือช่องประตู ชาวลาวล้านนาเชื่อว่าเป็นแผ่นไม้ศักดิ์สิทธิ์ ติดไว้เพื่อป้องกันสิ่งเลวร้ายต่าง ๆ ที่ผ่านเข้าสู่ห้องนอน
ข่มประตู คือกรอบประตูล่าง มีแผ่นธรณีประตูสูงกว่าขอบประตูปกติ ทำหน้าที่เป็นกรอบช่องประตู และเป็นเส้นกั้นอาณาเขตระหว่างห้องนอนกับเติ๋น
ฝาลับนาง เป็นฝาเรือนซีกปลายเท้ายื่นเลยจากตัวเรือนนอน เลยเข้ามายังส่วนโล่งของเติ๋นประมาณ 2 คืบ เป็นส่วนกำบังหญิงสาวในขณะทำงานบนบ้านในเวลาค่ำคืน ป้องกันกระแสลม หรืออันตรายที่จะเกิดกับหญิงสาว และขณะพูดคุยเกี้ยวพาราสีกับชายหนุ่ม โดยฝ่ายหญิงจะนั่งตรงเติ๋นบริเวณฝาลับนาง ฝ่ายชายจะนั่งอยู่บริเวณเติ๋นที่อยู่ชิดกับชาน โดยพื้นของบริเวณเติ๋นจะยกระดับสูงกว่าพื้นชาน เรียกว่า “ข่ม”
ต๊อมอาบน้ำ บริเวณรอบๆ บ่อน้ำที่ปลูกดอกไม้ ต้นไม้เอาไว้ และมีที่อาบน้ำเรียกว่า ต๊อมอาบน้ำ ก่อด้วยอิฐเป็นรูปสี่เหลี่ยม แต่ทำประตูเหลื่อมกันไว้เป็นลับแล บางแห่งก็ทำด้วยวัสดุพื้นบ้าน เช่น ไม้ไผ่สาน ไม่มีหลังคาเพื่อให้แสงแดดส่องเข้าถึง พื้นปูด้วยอิฐหรือกรวด มีร่องน้ำทิ้งให้ไหลไปในสวน